แมงกะพรุน หรือ กะพรุน(อังกฤษ: Jellyfish,
Medusa) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมไนดาเรีย
ไฟลัมย่อยเมดูโซซัว แบ่งออกเป็นอันดับได้ 5 อันดับ ลักษณะลำตัวใสและนิ่มมีโพรงทำหน้าที่เป็นทางเดินอาหารมีเข็มพิษที่บริเวณหนวดที่อยู่ด้านล่าง
ไว้ป้องกันตัวและจับเหยื่อ เมื่อโตเต็มวัย ส่วนประกอบหลักในลำตัวเป็นน้ำร้อยละ
94-98 ด้านบนเป็นวงโค้งคล้ายร่ม
ด้านล่างตอนกลางเป็นอวัยวะทำหน้าที่กินและย่อยอาหาร พบได้ในทะเลทุกแห่งทั่วโลกแมงกะพรุนส่วนใหญ่จัดอยู่ในอันดับไซโฟซัว
แต่ก็บางประเภทที่อยู่ในอันดับไฮโดรซัว อาทิ แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Physalia physalis) ซึ่งเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงที่สุดในโลก
และแมงกะพรุนอิรุคันจิ (Malo kingi) ที่อยู่ในอันดับคูโบซัว
ก็ถูกเรียกว่าแมงกะพรุนเช่นกันแมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่มีลำตัวโปร่งใส
ร่างกายประกอบด้วยเจลาตินเป็นส่วนใหญ่ สามารถมองเห็นเข้าไปได้ถึงอวัยวะภายใน
เป็นสัตว์ที่ไม่มีทั้งสมองหรือหัวใจลำตัวด้านบนของแมงกะพรุนมีลักษณะคล้ายร่ม
เรียกว่า "เมดูซ่า"
ซึ่งศัพท์คำนี้ก็ใช้เป็นอีกชื่อหนึ่งของแมงกะพรุนด้วยเช่นกันแมงกะพรุนเป็นสัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้นมาแล้วกว่า
505 หรือ 600 ล้านปีมีวงจรชีวิตที่ขยายพันธุ์ได้ทั้งแบบอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศแมงกะพรุนหลายชนิดมีพิษ
โดยบริเวณหนวดและแขนงที่ยื่นรอบปาก เรียกว่า "มีนีมาโตซีส" หรือเข็มพิษ
ใช้สำหรับฆ่าเหยื่อ หรือทำให้เหยื่อสลบก่อนจับกินเป็นอาหาร ซึ่งโดยมากเป็น ปลา
และใช้สำหรับป้องกันตัว ปริมาณของนีมาโตซีสอาจมีจำนวนถึง 80,000 เซลล์ ใน 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น
ภายในนีมาโตซีสนี้เองมีน้ำพิษที่เป็นอันตรายทำให้เกิดอาการคัน เป็นผื่น บวมแดง
เป็นรอยไหม้ ปวดแสบปวดร้อน และเป็นแผลเรื้อรังได้ หรืออาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
ขึ้นอยู่กับแมงกะพรุนแต่ละชนิด ในชนิด Chironex fleckeri ซึ่งเป็นแมงกะพรุนกล่องชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด
มีเซลล์เข็มพิษมากถึง 4-5,000,000,000 ล้านเซลล์ ในหนวดทั้งหมด 60 เส้นซึ่งมีผลทางระบบโลหิต
โดยไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดง ทำให้โลหิตเป็นพิษ
และเสียชีวิตลงได้ในระยะเวลาอันสั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
แมงกะพรุนหนัง เป็นแมงกะพรุนแท้ คือ แมงกะพรุนที่จัดอยู่ในชั้นไซโฟซัว
มีร่างกายเป็นก้อนคล้ายวุ้นโปร่งใส ไม่มีสี มีรูปร่างคล้ายร่ม
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 30 เซนติเมตร
บริเวณขอบร่มเป็นริ้วตรงกลางด้านเว้ามีส่วนยื่นออกไปเป็นช่อคล้ายดอกกะหล่ำที่มีปากอยู่ตรงกลางแมงกะพรุนหนังดำรงชีวิตเป็นแพลงก์ตอน
ไม่สามารถว่ายน้ำได้เองแต่จะมีการเคลื่อนที่ด้วยการล่องลอยไปตามกระแสน้ำและการพัดพาไปตามคลื่นลมโดยแมงกะพรุนหนังจัดเป็นแมงกะพรุนที่สามารถรับประทานได้
ชาวประมงจะจับกันในเวลากลางคืน ด้วยการล่อด้วยแสงไฟสีเขียว เมื่อได้แล้วจะนำไปล้างด้วยโซเดียมไบคาร์บอเนตและสารส้ม
เพื่อให้เมือกหลุดจากตัวแมงกะพรุนและทำให้มีเนื้อที่แข็งขึ้น ก่อนจะนำไปพักไว้
เพื่อปรุงหรือเป็นส่วนผสมในอาหารประเภทต่าง ๆ เช่น ยำ เย็นตาโฟ หรือสุกี้
แมงกะพรุนสาหร่าย หรือที่ชาวประมงชาวไทยนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า
"สาหร่ายทะเล" เป็นแมงกะพรุนสีขาว หรือเหลืองแกมแดง
มีสายยาวต่อจากลำตัวหลายเส้น แต่ละเส้นยาวประมาณ 1.50
เมตร
มีการเคลื่อนไหวได้น้อย อาศัยกระแสน้ำพัดพาไปยังที่ต่าง ๆ เมื่อมีพายุคลื่นลมแรง
หนวดจะขาดจากลำตัว ลอยไปตามน้ำ แต่ยังสามารถทำอันตรายผู้ที่สัมผัสถูกได้
ซึ่งทำให้ไหม้เกรียม และมีอาการปวดแสบปวดร้อนตามกล้ามเนื้อ
จุกแน่นหน้าอกในรายที่แพ้รุนแรง และเป็นไข้ อาการเป็นอยู่ 2-3 วัน จึงทุเลาหายไป แต่อาการหนักก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
เป็นแมงกะพรุนที่ีมีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทะเลน้ำตื้นรวมถึงป่าชายเลนแถบตอนเหนือของออสเตรเลีย ในน่านน้ำไทยพบแถบทะเลชุมพร และหัวหิน
แมงกะพรุนพระจันทร์ เป็นสัตว์น้ำไม่มีกระดูกสันหลังมีรูปร่างคล้ายกับถ้วย
คือ เมดูซ่าด้านบนของร่างกายจะโค้งนูน ส่วนด้านล่างเว้าเข้าเป็นด้านที่มีปาก
ตรงบริเวณขอบมีนวดโดยรอบและมีอวัยวะรับความรู้สึกที่เรียกว่า เทนตาคูโลซีสต์
เรียงอยู่ตรงขอบเป็นระยะ ๆ เทนตาโคลูซีสต์แต่ละหน่วยประกอบด้วย
ด้านล่างของลำตัวเป็นช่องปากอยู่บนมานูเบรียม รอบ ๆ ปากมีออรัลอาร์ม
ลักษณะแบนและยาวรวม 4 อัน บริเวณนี้มีเนมาโตซิสต์ หรือเข็มพิษอยู่มาก
ออรัลอาร์มทำหน้าที่จับเหยื่อเข้าปากเช่นเดียวกับหนวดของไฮดรา
ต่อจากช่องปากเป็นเอนเตอรอนซึ่งแยกออกเป็น 4 กระเปาะ
ต่อจากกระเปาะแต่ละอันมีท่อรัศมีมากมายผ่านมีโซเกลียไปยังท่อวงแหวน
ที่อยู่รอบขอบของร่างกาย และในแต่ละกระเปาะจะมีอวัยวะสืบพันธุ์รูปตัวยู
กระเปาะละอัน ติดอยู่กับพื้นล่างของเยื่อแกสโตรเดอร์มีส
ทำหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ผิวนอกของร่างกายทั้งหมดเป็นเซลล์เอปิเดอร์มี
ส่วนเซลล์ที่บุในระบบย่อยอาหาร ตลอดจนท่อต่าง ๆ ภายในร่างกาย
รวมทั้งอวัยวะสืบพันธุ์เป็นเซลล์ในชั้นแกสโตรเดอร์มีสแมงกะพรุนพระจันทร์
ถือเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษ แต่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นมีอันตรายต่อชีวิต
อาศัยอยู่ทั้งในเขตน้ำตื้นและน้ำลึก ในช่วงเช้าส่วนมากจะพบมากในเขตน้ำตื้น
เพราะจะถูกน้ำทะเลพัดมาในเวลากลางคืน
และก็จะหาอาหารในเขตน้ำตื้นไปด้วยในช่วงที่อยู่ในเขตน้ำตื้น ซึ่งอาหารก็ได้แก่
ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ โดยการใช้เข็มพิษให้หมดสติ และกินเป็นอาหาร
โดยแมงกะพรุนไฟ มีลักษณะทั่วไปคล้ายร่ม แต่มีสีลำตัวและหนวดเป็นสีแดงสดหรือสีส้ม
ด้านบนมีจุดสีขาวอยู่ทั่วไป สังเกตได้ง่าย
ปากและหนวดยื่นออกมาทางด้านล่างหรือด้านท้อง
เส้นหนวดมีจำนวนมากเป็นสายยาวกว่าลำตัว พบในทะเลทั้งบริเวณชายฝั่งและไกลฝั่ง
ในช่วงฤดูมรสุมอาจพบได้ในเขตน้ำกร่อย จัดเป็นแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากอีกจำพวกหนึ่ง
เมื่อโดนต่อยจากเข็มพิษแล้วจะมีอาการเจ็บปวดที่บริเวณบาดแผล จะมีอาการเจ็บ
ปวดบริเวณบาดแผลอย่างรุนแรงภายในระยะเวลา 2-3 นาที
บางครั้งอาจพบหนวดแมงกะพรุนขาดติดอยู่บนผิวสัมผัส ผิวหนังมีแนวผื่นแดง หรือรอยไหม้
ตามรอยหนวด ปวดแสบปวดร้อน บวมแดงจากการอักเสบและอาจเป็นหนองจากการติดเชื้อสำทับ
อาการบวมแดงอาจหายไปได้ในเวลาไม่ช้า
แต่รอยไหม้และรอยแผลเป็นที่เกิดขึ้นจะต้องใช้เวลารักษานานหลายปี
หรืออยู่ถาวรตลอดไป นอกจากนี้อาจมีอาการไอ, น้ำมูกและน้ำตาไหล
และอาการข้างเคียงอื่น ๆ เช่น เหงื่อออกมาก กล้ามเนื้อเป็นตะคริว, อ่อนเพลีย และหมดสติ
จากการฉีดพิษที่สกัดจากแมงกะพรุนไฟเข้าไปในสัตว์ทดลองพบว่าทำให้การทำงานของตับและไตผิดปรกติ
จนอาจเป็นอันตรายถึงตายได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตมนุษย์
แมงกะพรุนอิรุคันจิ เป็นชื่อสามัญแมงกะพรุนที่มีพิษร้ายแรงมากที่สุดจำพวกหนึ่งของโลก
จัดเป็นแมงกะพรุนจำพวกแมงกะพรุนกล่อง หรือ คูโบซัวโดยแมงกะพรุนอิรุคันจินั้นจะเป็นแมงกะพรุนที่มีขนาดเล็ก
มีความยาวเพียงไม่เกิน 1 เซนติเมตร น้ำหนักไม่เกิน 1 ออนซ์ มีลำตัวโปร่งใส
และมีหนวดที่มีเข็มพิษจำนวนมากมายที่มีพิษต่อระบบโลหิต โดยจะทำให้โลหิตเป็นพิษ
และเสียชีวิตได้ในระยะเวลาไม่นาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมแมงกะพรุนที่อาจเรียกได้ว่าเป็แมงกะพรุนอิรุคันจินั้นแบ่งออกได้เป็น
4 ชนิด คือ Carukia barnesi, Malo kingi, Alatina
alata และชนิดใหม่ คือ Malo maxima[โดยชื่อ
"อิรุคันจิ" นั้นมีที่มาจากชาวเผ่าอิรุคันจิ
ชนเผ่าพื้นเมืองของออสเตรเลียที่มีตำนานเล่าขานต่อกันมาเกี่ยวกับความเจ็บปวดและอันตรายของแมงกะพรุนจำพวกนี้หากได้สัมผัสเข้าแมงกะพรุนอิรุคันจิ
ได้ถูกศึกษาครั้งแรกทางวิทยาศาสตร์ในราวคริสต์ทศวรรษที่ 1960
โดยนักวิทยาศาสตร์ที่เคยถูกพิษของมันแทงเข้า
ได้ลงไปจับในทะเลทางตอนเหนือของออสเตรเลียเพื่อศึกษา
เดิมทีแมงกะพรุนอิรุคันจิ
เผยกระจายพันธุ์แต่เฉพาะทางตอนเหนือของออสเตรเลีย
แต่ปัจจุบันได้มีรายงานพบในหลายพื้นที่มากขึ้น เช่น ฮาวาย, ญี่ปุ่น, ฟลอริดา
รวมถึงในประเทศไทยพิษของแมงกะพรุนอิรุคันจิ
ทำให้ผู้ที่โดนเข็มพิษของแมงกะพรุนจำพวกนี้แทงถูกมีอาการที่เรียกว่า
"อาการอิรุคันจิ"
แมงกะพรุนโนะมุระ แพร่กระจายพันธุ์อย่างรวดเร็วในน่านน่้ำญี่ปุ่น
โดยอุตสาหกรรมประมงที่เคยจับปลาได้คราวละหลายล้านตัน
ต้องตกตะลึงเมื่ออวนลากพบแต่แมงกะพรุนชนิดนี้เต็มไปหมด นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 2002
จำนวนประชากรในญี่ปุ่นก็เพิ่มขึ้นหลายพันล้านตัว จากเดิมที่เคยแพร่ขยายพันธุ์ครั้งใหญ่คราวละ
40 ปี ปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีประมาณ 2 หมื่นล้านตัว มากกว่าประชากรมนุษย์บนโลกถึง 3
เท่าแมงกะพรุนโนะมุระขนาดใหญ่สุดมีน้ำหนักได้มากถึง 450 ปอนด์
และมีเส้นรอบวงประมาณ 12 ฟุต
การแพร่ขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของแมงกะพรุนโมมูระทำให้รัฐบาลญี่ปุ่นต้องเร่งทำการศึกษาและหยุดยั้งการแพร่ขยายพันธุ์
จากการศึกษาวิจัยโดยเครื่องส่งสัญญาณดาวเทียม
พบว่าแมงกะพรุนโนะมุระมีพฤติกรรมที่ตะกละตะกลามมาก
โดยหนึ่งตัวจะกินแพลงก์ตอนสัตว์คราวละมาก ๆ
เทียบเท่ากับจำนวนเต็มทั้งสระว่ายน้ำโอลิมปิกได้ทั้งสระภายในหนึ่งวันในเวลากลางวัน
แพลงก์ตอนสัตว์จะลอยตัวขึ้นเหนือน้ำ แมงกะพรุนโนะมุระจะลอยตามตัว
เมื่อตกกลางคืนแพลงก์ตอนสัตว์ก็จะดำดิ่งลงไป
แมงกะพรุนโนะมุระก็จะลอยตัวลงต่ำตามไปด้วย และจากการศึกษาพบว่า
เมื่อผ่าตัวหรือจับขึ้นมาแล้ว แมงกะพรุนโนะมุระตัวเมียจะปล่อยไข่หลายล้านฟอง และตัวผู้ก็มีสเปิร์มหลายล้านตัว
เมื่อถูกจู่โจมไข่และสเปิร์มจะถูกปฏิสนธิทันที
ไข่ที่สุกแล้วจะจมลงไปสู่พื้นทะเลเพื่อรอการเจริญเติบโตไป
โดยสามารถอยู่รอดได้หลายปีหรือแม้กระทั้งหลายสิบปี
จนกระทั่งถูกภาวะบางประการกระตุ้น แมงกะพรุนตัวอ่อนจะลอยตัวขึ้นมาสู่ท้องทะเลทันที
โดยภาวะที่ไปกระตุ้นให้แมงกะพรุนเพิ่มปริมาณมากขึ้นอย่างน่าตกตะลึงนั้น
เชื่อว่าเป็นผลมาจากสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น น้ำที่มีมลพิษ[2]
ที่ส่งผลให้แพลงก์ตอนต่าง ๆ มีธาตุอาหารมากขึ้น ซึ่งก็เป็นอาหารของแมงกะพรุนด้วย
ตลอดจนสภาพอากาศที่เปลี่ยนไป ในกรณีของแมงกะพรุนโนะมุระนั้นเชื่อว่าเป็นผลมาจากโรงงานอุตสาหกรรมที่ตั้งเรียงรายบริเวณปากแม่น้ำแยงซีในประเทศจีน
ซึ่งเป็นแหล่งอุตสาหกรรมใหญ่และเป็นที่ตั้งของท่าเรือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น